สารบัญ

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา

การตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคืออาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งอาการนี้มีสาเหตุมากมาย และในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวันของหญิงตั้งครรภ์ได้

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา
อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา

1. คำจำกัดความของอาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์

อาการมือชาเป็นอาการที่หญิงตั้งครรภ์หลายคนประสบ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 และ 3 อาการนี้มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรือเมื่อหญิงตั้งครรภ์เพิ่งตื่นนอนตอนเช้า ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและส่งผลต่อกิจกรรมประจำวัน

2. สาเหตุของอาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ มากมาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ทำให้ปริมาณเลือดและของเหลวในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกดทับ โดยเฉพาะเส้นประสาทมีเดียนที่ข้อมือ นอกจากนี้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการกักเก็บของเหลวยังส่งผลให้แรงกดบนเส้นประสาทเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการชาที่มือ

2.1. กลุ่มอาการทางข้อมือ

กลุ่มอาการทางข้อมือเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการชาที่มือของหญิงตั้งครรภ์ เส้นประสาทมีเดียนซึ่งวิ่งผ่านกลุ่มอาการทางข้อมือถูกกดทับเนื่องจากแรงกดที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาการ ทำให้เกิดอาการชา เจ็บปวด และอ่อนแรงที่มือ กลุ่มอาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เมื่อร่างกายของแม่กักเก็บน้ำไว้มากขึ้นและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก

2.2. การไหลเวียนโลหิตไม่ดี

ในระหว่างตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดในร่างกายของแม่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม การไหลเวียนโลหิตอาจไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะที่มือและเท้า ทำให้เกิดอาการชา การนั่งหรือยืนในท่าเดียวเป็นเวลานานเกินไป หรือเคลื่อนไหวไม่เพียงพอ อาจทำให้การไหลเวียนโลหิตลดลง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการดังกล่าว

2.3. การขาดวิตามินและแร่ธาตุ

อาหารของหญิงตั้งครรภ์มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวมของเธอ การขาดวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะวิตามินบี 6 แมกนีเซียม และแคลเซียม อาจทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการชาที่มือเพิ่มขึ้น วิตามินบี 6 ช่วยรักษาการทำงานของเส้นประสาท ในขณะที่แมกนีเซียมและแคลเซียมช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อและรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์

2.4. การเปลี่ยนแปลงท่าทางและแรงกด

เมื่อทารกในครรภ์เจริญเติบโต หญิงตั้งครรภ์จะต้องปรับตำแหน่งร่างกายเพื่อรักษาสมดุล ซึ่งอาจกดดันเส้นประสาทและหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการชาที่มือ การนอนตะแคงข้างเดียวเป็นเวลานานหรือการนั่งในที่เดียวเป็นเวลานานก็อาจทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการชาที่มือเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากแรงกดบนร่างกายที่ไม่เท่ากัน

3. อาการชาที่มือในหญิงตั้งครรภ์

3.1. อาการเสียวซ่าหรือชาที่มือ

อาการแรกที่หญิงตั้งครรภ์มักประสบคืออาการเสียวซ่าหรือชาที่มือ โดยเฉพาะที่นิ้วมือ ความรู้สึกนี้อาจเริ่มจากนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง จากนั้นลามไปยังนิ้วอื่นๆ และบางครั้งอาจลามขึ้นไปที่แขน อาการนี้มักจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในเวลากลางคืนหรือเมื่อหญิงตั้งครรภ์ตื่นนอนในตอนเช้า

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา

3.2. อาการปวดหรืออ่อนแรงที่มือ

นอกจากอาการชาแล้ว หญิงตั้งครรภ์ยังอาจรู้สึกปวดหรืออ่อนแรงที่มืออีกด้วย ซึ่งอาจทำให้จับสิ่งของได้ยากขึ้น ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวัน บางครั้งอาการปวดอาจลามจากมือไปที่แขน ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและไม่สบายตัว

3.3. ถือสิ่งของลำบาก

อาการชาที่มือไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังลดความสามารถในการถือสิ่งของของหญิงตั้งครรภ์ได้อีกด้วย เมื่ออาการชาที่มือรุนแรงขึ้น การจับสิ่งของที่มีน้ำหนักเบา เช่น ปากกา แก้วน้ำ หรือโทรศัพท์ จะกลายเป็นเรื่องยากและทำตกได้ง่าย

4. วิธีการวินิจฉัยและรักษาอาการชาที่มือในหญิงตั้งครรภ์:

4.1. วิธีการวินิจฉัย

เพื่อวินิจฉัยอาการชาที่มือได้อย่างแม่นยำ แพทย์มักจะใช้วิธีการต่างๆ เช่น การตรวจร่างกายและสอบถามเกี่ยวกับอาการเฉพาะที่หญิงตั้งครรภ์ประสบ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์ เพื่อประเมินสภาพของเส้นประสาทและระบุสาเหตุของอาการชาที่มือได้

4.2. การรักษาที่ไม่ใช้ยา

การรักษาอาการชาที่มือในหญิงตั้งครรภ์มักเริ่มต้นด้วยวิธีการที่ไม่ใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด วิธีการทั่วไป ได้แก่:


  • การออกกำลังกายเบาๆ: การยืดเหยียดและการออกกำลังกายเบาๆ สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดแรงกดบนเส้นประสาท หญิงตั้งครรภ์สามารถลองออกกำลังกาย เช่น โยคะ เดิน หรือว่ายน้ำ

  • การนวดและประคบอุ่น: การนวดบริเวณที่ชาเบาๆ สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดอาการชาได้ การประคบอุ่นหรือเย็นยังช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้อีกด้วย

  • เปลี่ยนท่านอนและท่าทำงาน: หญิงตั้งครรภ์ควรเปลี่ยนท่าบ่อยๆ เมื่อนั่งหรือนอนลง หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดิมนานเกินไปเพื่อลดแรงกดบนเส้นประสาท

4.3. การรักษาด้วยยา

ในกรณีที่รุนแรงบางกรณี หากการรักษาที่ไม่ใช่ยาไม่ได้ผล แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบเพื่อช่วยบรรเทาอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์ควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารก

4.4. การผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง

หากอาการชาไม่หายและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อบรรเทาแรงกดทับที่เส้นประสาทมีเดียน การผ่าตัดนี้มักจะทำหลังจากที่แม่คลอดบุตรแล้วเท่านั้น เว้นแต่ว่าอาการจะรุนแรงเกินไปและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแม่อย่างรุนแรง

5. มาตรการป้องกันอาการชามือสำหรับสตรีมีครรภ์:

5.1. รับประทานอาหารให้เหมาะสม

เพื่อป้องกันอาการชามือ สตรีมีครรภ์ควรรับประทานอาหารที่สมดุล รวมถึงอาหารที่มีวิตามินบี 6 แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง สารอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาการทำงานของเส้นประสาทเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการพัฒนาของทารกในครรภ์ให้แข็งแรงอีกด้วย อาหารบางชนิดที่มีวิตามินบี 6 สูง ได้แก่ กล้วย เมล็ดทานตะวัน มันฝรั่ง และไก่

5.2. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยงของอาการชามือ สตรีมีครรภ์สามารถเข้าร่วมชั้นเรียนโยคะสำหรับสตรีมีครรภ์โดยเฉพาะหรือทำท่าบริหารยืดเส้นยืดสายง่ายๆ ที่บ้าน การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยลดอาการชามือเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สตรีมีครรภ์รักษาสุขภาพโดยรวมและลดความเครียดได้อีกด้วย 5.3. ปรับท่าการนอนและการทำงาน

เมื่อต้องนอนหลับ หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อลดแรงกดทับหลอดเลือดใหญ่และเส้นประสาท และช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่มือและเท้าได้ดีขึ้น เมื่อต้องทำงาน หญิงตั้งครรภ์ต้องอยู่ในท่าที่สบาย หลีกเลี่ยงการวางมือและข้อมือไว้ในท่าเดิมนานเกินไป การใช้หมอนรองขณะนอนหลับและปรับความสูงของเก้าอี้ขณะทำงานก็ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการชาที่มือได้เช่นกัน

5.4. ดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการกักเก็บน้ำ

การดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์และช่วยการไหลเวียนของเลือด หญิงตั้งครรภ์ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และเครื่องดื่มอัดลม เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและเพิ่มความเสี่ยงต่อการกักเก็บน้ำ ส่งผลให้มือชาได้

6. ควรไปพบแพทย์เมื่อใด

6.1. อาการที่ต้องระวัง

แม้ว่าอาการชาที่มือจะพบได้บ่อยและมักไม่เป็นอันตราย แต่หากสตรีมีครรภ์มีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที:


  • อาการชาที่มือเป็นๆ หายๆ และรุนแรงขึ้น

  • อาการปวดที่ไม่ทุเลาลงหลังจากพักผ่อนหรือใช้ยาแก้ปวดที่บ้าน

  • อาการบวม แดง หรือแสบร้อนที่มือหรือแขน

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความสามารถในการหยิบจับสิ่งของ

6.2. มาตรการทางการแพทย์ที่จำเป็น

ในกรณีที่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้มาตรการทางการแพทย์ เช่น ยาแก้ปวด การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ หรือการผ่าตัดเพื่อคลายเส้นประสาท มาตรการเหล่านี้ควรทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา

7. เคล็ดลับการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพเพื่อลดอาการชาที่มือ

7.1. ปรับท่าทางการนอนและการทำงาน

ดังที่กล่าวไว้ ท่าทางการนอนและการทำงานมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาการชาที่มือ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรลองนอนในท่าต่างๆ เพื่อหาท่าที่สบายที่สุดและให้แน่ใจว่ามือและข้อมือจะไม่ถูกกดทับ เมื่อทำงาน คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องพักผ่อนเป็นประจำและเปลี่ยนท่าเพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานาน

7.2. ใช้เครื่องมือช่วยพยุง

การใช้อุปกรณ์พยุงข้อมือหรือหมอนรองขณะนอนหลับสามารถช่วยลดอาการชามือได้ นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถใช้แผ่นรองมือหรือแป้นพิมพ์ตามหลักสรีรศาสตร์เมื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์เพื่อลดแรงกดบนข้อมือและนิ้ว

7.3. รักษาการใช้ชีวิตที่สมดุลและมีสุขภาพดี

การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี รวมถึงการรับประทานอาหารที่สมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับเพียงพอ เป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของอาการชาในหญิงตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงความเครียด จำกัดการสัมผัสกับสารกระตุ้น เช่น แอลกอฮอล์และยาสูบ และรักษาสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายเพื่อสนับสนุนสุขภาพโดยรวม

8. ข้อผิดพลาดทั่วไปในการรักษาอาการชาในหญิงตั้งครรภ์:

8.1. การใช้ยาโดยไม่ได้รับใบสั่งจากแพทย์

การใช้ยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบโดยไม่ได้รับใบสั่งจากแพทย์เป็นความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งที่หญิงตั้งครรภ์มักทำ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์และทำให้มือชามากขึ้น ควรใช้ยาทุกชนิด รวมถึงยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ ภายใต้การดูแลของแพทย์

8.2. การเพิกเฉยต่ออาการร้ายแรง

หญิงตั้งครรภ์หลายคนมักจะเพิกเฉยต่ออาการของอาการชาที่มืออย่างต่อเนื่องหรือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์

8.3. ขาดความอดทนในการใช้การรักษาที่ไม่ใช่ยา

การรักษาอาการชาที่มือด้วยวิธีที่ไม่ใช่ยา เช่น การออกกำลังกาย การนวด และการปรับท่าทาง ต้องใช้เวลาและความอดทน หญิงตั้งครรภ์หลายคนอาจท้อแท้เมื่อไม่เห็นผลลัพธ์ทันทีและเพิกเฉยต่อวิธีการเหล่านี้ ส่งผลให้อาการชาที่มือไม่ดีขึ้น

อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา อาการมือชาในหญิงตั้งครรภ์: สาเหตุและการรักษา

บทสรุป:

อาการชามือในหญิงตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่พบบ่อย แต่สามารถควบคุมและรักษาได้หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น การทำความเข้าใจสาเหตุและอาการของอาการชามือจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ทั้งแม่และลูกมีสุขภาพดีตลอดการตั้งครรภ์


หญิงตั้งครรภ์ควรใส่ใจสุขภาพของตนเอง รักษาการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดี และไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการชามือและการรักษาที่เหมาะสม การดูแลตัวเองให้ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกสบายตัวมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาสุขภาพของทารกในครรภ์อีกด้วย

>> ดูเพิ่มเติม: หญิงตั้งครรภ์มีน้ำนมเหลืองกี่เดือน: 2 การรับรู้


เว็บไซต์:
https://wilimedia.co/
อีเมล: support@wilimedia.co